“ไม่มีทาง เป็นไปไม่ได้” ท่านหญิงซิ่วหวาประกาศเสียงกร้าว กำมือทุบโต๊ะ ปัง! พร้อมผุดลุกจากเก้าอี้อย่างเอาเรื่อง
“ยาสลายอาวรณ์ของข้า เปรียบได้ดังดื่มน้ำแกงยายเมิ่ง1 ไม่มีตัวยาใดสามารถแก้ไขได้”
“ศิษย์น้อง เจ้าช่างมั่นใจนัก” หลางอวี้เหวิน ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามก็ผุดลุกขึ้นเช่นกัน ดวงหน้าของคนทั้งสองแดงก่ำ ยืนจ้องหน้ากันจังก้า ด้วยโต้เถียงกันมาสักพักใหญ่ ๆ
“พอเถอะ ๆ พวกท่านสองคนจะถกเถียงกันด้วยเหตุใด ต่างก็เป็นศิษย์สำนักเดียวกัน” หวางอินฉี กล่าวแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น แฝงความอิดหนาระอาใจ
แม้จะคุ้นเคยกับการชิงดีชิงเด่นระหว่างศิษย์พี่ศิษย์น้องคู่นี้ ที่มักเถียงกันหน้าดำหน้าแดงว่าใครเก่งกว่าใคร ทั้งที่ในหัวใจของทั้งสอง
“รักกัน……มั่นคงแน่นเหนียว”
“ข้ายังมีเรื่องสำคัญต้องปรึกษาพวกท่านอีกมากมาย เหตุใดจึงมัวท้าต่อยตีเป็นเด็กกันอยู่ได้ เฮ้อ!!…..”
สองร่างที่ยืนจังก้ามองตากันเขม็ง ทรุดกายลงนั่งทันที หวางอินฉีเปิดคำพูดขึ้นมาในทันที ถึงการณ์ที่ทรงหมายมั่นไว้แล้วในพระทัย
“ท่านน้า อีกสองสามวันข้าจะขึ้นเหนือ เฉินฟู่อี้กับอวี้เหวิน ครั้งนี้คงต้องไปกับข้าด้วย ศึกครานี้มิรู้เมื่อไหร่จะสำเร็จลง หากล้างพวกมันมิได้สิ้นซาก เช่นนั้นพวกมันก็ยังคงก่อกวนมิเลิกรา ไปครานี้ใจข้าต้องการกวาดล้างพวกมันให้สิ้น หากมิสมกับที่ข้าตั้งใจ เช่นไรก็จะยังมิกลับมา” หวางอินฉีหยุดนิ่งไป กล่าวต่อด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ขาดหายไปเสียเฉย ๆ คำพูด
“เดิมที…ทางนี้ไม่มีอะไรให้ต้องห่วง แต่….ตอนนี้” ในพระทัยยามนี้ทรงนึกกังวลห่วงใยถึงสตรีที่แสนรัก บัดนี้นางหลงลืมสิ้นความทรงจำ หากนางเป็นเช่นปกติความกังวลในพระทัยคงน้อยลง
“ซื่อหวู่ เจ้ามิต้องกังวล มีน้าซิ่วอยู่ อีกอย่างใครคิดจะย่างเข้าถ้ำพยัคฆ์เยี่ยงตำหนักเมฆาครามคงมิง่าย วางใจเถอะ”
เหมยซิ่วหวากล่าวน้ำเสียงจริงจัง อย่างรู้เท่าทัน รู้พระทัยผู้เป็นหลานชาย ด้วยแน่ใจเกินสิบส่วน ผู้เป็นหลานห่วงใยในตัวพระชายา
ผู้สิ้นไร้…..ความทรงจำ!
“พวกเจ้าสองคนก็ต้องระวังตัว เหยียบเข้าแดนศัตรูต้องดูหน้าดูหลัง หนานเอ่อตูปาหนาน2ย่อมใช่ลูกไก่ไร้ชีวิตในกำมือพวกเจ้า หากรบกันซึ่งหน้าเยี่ยงชายชาญ ข้าคงมิต้องเป็นห่วงหรือกังวลในสิ่งใด หากทวนเปิดเผยหลบหลีกง่าย เกาทัณฑ์ในที่ลับยากระวัง3 เรื่องคราที่แล้วสมควรจดจำเป็นบทเรียนที่หลงลืมไปเสียมิได้ ผู้หนึ่งตาย หากมันยังลอยหน้ามีหน้ามีตาอยู่ได้ เช่นนี้แล้วคนผู้นี้ย่อมมิธรรมดา ใจจริงข้าอยากตามไปกับพวกเจ้าด้วย ว่างเว้นศึกมานานรู้สึกคันไม้คันมือ” เหมยซิวหวาพูดไปพลางขยับไม้ขยับมือตาม
“ไม่ต้อง/ไม่ต้อง” สองเสียงของบุรุษประสานขึ้นมาพร้อมกันทันที
“อยู่ที่นี่กับลี่ลี่จะดีกว่า” หลางอวี้เหวินชิงพูดขึ้นมาก่อน ก่อนจะหันไปสบตา พยักหน้าให้กับท่านอ๋องหวางอินฉี แผนที่ถูกหยิบขึ้นมากางจนเต็มโต๊ะ
สามคน หนึ่งสหายรักคู่ใจ หนึ่งหลายชายและน้าหญิงที่รับหน้าที่ เป็นองครักษ์อยู่ข้างกายมาแต่ยามเยาว์วัย วางแผนกลศึกกันอย่างเอาจริงเอาจัง ไร้คำพูดจาล้อเล่นอีกต่อไป………………..
เสี่ยวชิงอี้พลิกตัวไปมาอยู่บนเตียงกว้าง ตั้งแต่ช่วงเย็นมาแล้ว จู่ ๆ รอยแผลเก่าที่อกเบื้องซ้ายกลับเจ็บร้าวขึ้นมาเป็นระยะ มากบ้างน้อยบ้าง ถึงบัดนี้ก็ล่วงเข้ายามอิ๋น4แล้ว ให้อย่างไรก็หลับตาไม่ลง
ในสมองนาง ตอนนี้กลับเห็นภาพเรือนหลังน้อยนั้นขึ้นมาเสียเฉย ๆ ภายใต้แสงจันทราเต็มดวงคืนนี้ คงจะงามมิใช่น้อย
ไวเท่าความคิดคำนึง ผลุดลุกขึ้นจากที่นอน หันไปหยิบเสื้อคลุมตัวนอกขึ้นมาใส่คลุมกาย ก่อนจะหันไปดึงผ้าห่มคลุมร่างให้ลูกน้อยอีกครั้ง
คืนนี้จันทราส่องแสงนวลไปทั่ว สายลมเย็นโชยพัดกลิ่นดอกโมลี่ฮวามาเจือจาง ใจเมื่อไปถึงเรือนน้อยหลังนั้นเรียบร้อยแล้ว
สองเท้าของนาง จึงก้าวเดินอย่างมั่นคง ……….…
*** จบตอน พบพานเพื่อจากลา (1)***
1ยายเมิ่ง เป็นตัวละครในเทพนิยายของเผ่าฮั่นสมัยโบราณ ยายเมิ่งมักจะรออยู่ที่ริมสะพานข้ามแม่น้ำไน่เหอ คอยมอบน้ำแกงยายเมิ่งให้วิญญาณทุกดวงที่เดินมุ่งหน้าไปเกิด ใหม่ เพื่อลบความทรงจำของวิญญาณเหล่านี้
2ตำแหน่งเทียบเท่าผู้ครองดินแดน หรือจักรพรรดิของชนพื้นเมืองนอกด่าน
3ทวนที่แทงจากที่แจ้งนั้นหลบหลีกง่าย แต่ลูกศรที่ยิงมาจากที่ลับนั้นยากต่อการระวัง
4ยามอิ๋น 寅:yín คือ 03.00 – 04.59 น
Powered By SK REALTY+