ขันทีหลินผู้ซึ่งอยู่หน้าห้องเข้ามา และกราบทูลฮองเฮาด้วยความเคารพ
“กราบทูลฮองเฮา พระนางควรเสด็จกลับพระตำหนักเฟิ่งหยางก่อนจะเป็นการดีกว่านะพ่ะย่ะค่ะ”
ม่อชีชีทำสีหน้าบูดบึ้งใส่จวินเชียนเช่อ
“ผู้คนหวังดีแท้ ๆ กลับตอบแทนความหวังดีด้วยความโกรธเกรี้ยว อ้า… ทรงเป็นคนเช่นใดกันเนี่ย ? ฮึ่ม !”
นางสะบัดแขนเสื้อด้วยท่าทีฉุนเฉียวก่อนจะผละจากไป
ขันทีหลินสังเกตเห็นสีพระพักตร์ของฝ่าบาทมิสู้ดี จึงแอบหลบฉากออกมาอย่างเงียบ ๆ
ม่อชีชีจากมาด้วยความโกรธเกรี้ยว ขันทีหลินไล่ตามนางมา
“พระนาง โปรดประทับรอสักครู่เถิดพระเจ้าค่ะ”
ม่อชีชีหยุด นางหันมามองขันทีหลินพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงดุดัน
“อะไรอีกล่ะ ? ข้าบอกได้เลยว่าฝ่าบาทของเจ้าน่ะพระอารมณ์แปรปรวนมาก พระอารมณ์บูดได้ตลอดเวลา ! ช่างไม่รู้คุณคนเอาเสียเลย นี่ข้าสู้อุตส่าห์หวังดีหรอกนะถึงยอมบอก ว่าแต่เจ้าถวายงานรับใช้ฝ่าบาทมานานแค่ไหนแล้วเนี่ย ?”
ขันทีหลินกล่าวตอบด้วยอาการนอบน้อม
“ทูลฮองเฮา กระหม่อมเริ่มถวายการรับใช้ตั้งแต่พระองค์ทรงมีพระประสูติกาลพระเจ้าค่ะ กาลครั้งนั้นกระหม่อมมีอายุได้ 18 ปี เพียงพริบตาเดียวก็ผ่านมาถึง 22 ปีแล้วพระเจ้าค่ะ”
ม่อชีชีตบไหล่ขันทีหลินอย่างเวทนา
“ไม่ง่ายเลยจริง ๆ เฮ้อ ! ติดตามคนเจ้าอารมณ์มานานถึงเพียงนี้ เป็นเรื่องหนักสำหรับเจ้าจริง ๆ ฝ่าบาทน่าที่จะประทานรางวัลให้แก่การทำงานหนักของเจ้า”
“ฮองเฮาทรงล้อกระหม่อมเล่นแล้ว การได้ถวายการรับใช้ฝ่าบาทนับเป็นวาสนาของกระหม่อมผู้นี้ แท้จริงแล้ว ฝ่าบาททรงพระทัยเย็น นับแต่ทรงพระเยาว์ความคิดความอ่านก็เกินพระชันษา น้อยครั้งนักที่จะเห็นพระองค์ทรงกริ้ว”
ขันทีหลินตอบอย่างซื่อสัตย์ แท้จริงแล้วเขาเองก็ไม่เข้าใจว่า เหตุใดฝ่าบาทจึงมิอาจควบคุมองค์เองทุกครั้งที่ประทับอยู่ร่วมกับฮองเฮา
ครั้นได้ยินเช่นนี้ม่อชีชีก็ยิ่งเดือดดาล
“ที่เจ้าพูดเช่นนี้ ก็หมายความว่า ฝ่าบาททรงระเบิดอารมณ์ใส่ข้าคนเดียวงั้นหรือ ? หรือเป็นเพราะพระองค์เห็นว่าข้ามันไก่อ่อนรังแกง่าย !”
ขันทีหลินรีบช่วยจวินเชียนเช่อ เขากล่าวว่า
“ฮองเฮาเข้าพระทัยฝ่าบาทผิดแล้ว กระหม่อมได้ยินทุกสิ่งที่พระนาง และฝ่าบาทมีรับสั่งต่อกัน สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้หาใช่ความผิดของฝ่าบาทไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“ฮองเฮา ไม่ทรงเข้าพระทัย หัวใจของฝ่าบาทจริง ๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ ?”
ขันทีหลินเอ่ยถามอย่างจริงจัง
ม่อชีชีเย้ยหยัน “พระอารมณ์แปรปรวนถึงเพียงนั้น ผู้ใดจะไปซึ้งถึงน้ำพระทัยได้เล่า ? ข้าไม่สนใจทั้งก็ไม่คิดที่จะทำความเข้าใจด้วย เกรงว่า ฝ่าบาทเองก็คงไม่เคยคิดที่จะทำให้ใครเข้าใจด้วย ผู้ใดก็ตามหากพยายามจะคาดเดาน้ำพระทัยฮ่องเต้ เกรงว่าจะไม่ต่างกับรนหาที่ตายชัด ๆ ”
ขันทีหลินชำเลืองมองประตูห้องบรรทม จากนั้นเขาก็ลากม่อชีชีไปยืนอีกด้านหนึ่ง เขากวาดตามองโดยรอบ ก่อนจะกระซิบกระซาบ
“ฮองเฮาทรงทราบหรือไม่ว่า เหตุใดฝ่าบาทจึงทรงพระประชวร ?”
ม่อชีชีส่ายศีรษะก่อนจะหัวเราะเยาะ
“อาจเป็นได้ว่าราตรีก่อนอากาศเย็นจัดเกินไป และฝ่าบาทกับหยางกุ้ยเฟยก็ทรงหักโหมกันเกินไป เช่นนั้นพระองค์จึงทรงล้มป่วย”
ขันทีหลินถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ฮองเฮา ทรงเข้าพระทัยฝ่าบาทผิดอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาททรงวิตกกังวลเกี่ยวกับพระนาง เมื่อคืนนี้ทันทีที่ทรงทราบว่าพระนางถูกลอบสังหาร ฝ่าบาทก็ไม่สนพระทัยพระวรกายที่สูงส่งขององค์เอง ทรงนำทหารราชองค์รักษ์ออกติดตามค้นหาพระนาง ทรงค้นหาตลอดทั้งราตรีท่ามกลางพายุฝนที่โหมกระหน่ำ แม้วรองค์ของฝ่าบาทจะแข็งแกร่งราวเหล็กกล้า ทว่าเมื่อต้องเปียกฝนตลอดราตรี ย่อมเป็นธรรมดาที่จะต้องทรงพระประชวร ภายหลังกลับถึงวังหลวง ฝ่าบาทยังทรงมีรับสั่งห้ามมิให้ผู้ใดเอ่ยถึงแม้แต่คำเดียว ด้วยทรงเกรงว่าจะรู้ถึงพระเนตรพระกรรณองค์ไทเฮา เพื่อที่พระนางจะได้ไม่ถูกองค์ไทเฮาตำหนิ ฝ่าบาททรงห่วงใยพระนางอย่างแท้จริง ฮองเฮา พระนางควรรู้ถึงน้ำพระทัยของฝ่าบาทที่มีต่อพระนางนะพ่ะย่ะค่ะ”
***จบตอน ฮองเฮาเข้าพระทัยฝ่าบาทผิดแล้ว ***
Powered By SK REALTY+